เจ้าหญิงงู บนแผ่นดินกัมพูชา
เจ้าหญิงงู ร่วมสองเดือน ที่ระวีใช้เวลาการในการศึกษาประวัติศาสตร์ของแผ่นดินกัมพูชา เพื่อจะเตรียมตัวเดินทางไปทำสกู๊ปพิเศษที่ประเทศกัมพูชา เพื่อจัดทำนิตยาสารฉบับพิเศษที่เธอสังกัดอยู่ ทั้งหนังสือ สารคดีที่เกี่ยวกับประเทศกัมพูชา ทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องลี้ลับทางไสยศาสตร์ของกัมพูชา
ระวี เดินทางเข้าไปพบและพูดคุยกับนักทำสารคดีมือหนึ่งระดับประเทศ ที่เป็นผู้เขียนพ็อคเก็ตบุ๊คส์เกี่บกะบประเทศกัมพูชา เพื่อตามรอยพ็อกเก็ตบุคส์เชิงสารคดีฉบับนั้น และบทที่ระวีสนใจโดยส่วนตัวเป็นอย่างที่สุดก็คือ การเขียนและอ้างอิงถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์กัมพูชาที่ “คนกัมพูชาต่างเรียกขานพระนามว่า “เจ้าหญิงงู”
ระวีเคลียร์งานบนโต๊ะที่คั่งค้างจำนวนมาก เธอเรียประชุมกองบรรณาธิการทั้งหมด เรื่องการส่งต้นฉบับตามเวลา และดารทำงานอย่างรับผิดชอบในช่วงที่เธอเดินทางไปทำสกู๊ปพิเศษที่ประเทศกัมพูชาจำนวน 2 สัปดาห์
กลับถึงที่พักตอนเย็น ฉัตวารีบรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว เพราะต้องขึ้นไปจัดกระเป๋าเดินทาง เพื่อไปขึ้นเครื่องในวันพรุ่งนี้เวลา 7 โมงเช้า
เกือบสามทุ่มครึ่ง กระเป๋าเดินทาง จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระวีนั่งคิดทบทวนว่าเธอยังขาดอะไรบางอย่างที่นึกไม่ถึง อ้อ! สิงศักดิ์สิทธิ์ที่จะติดตัวไปให้ปกปักรักษาไงที่ลืม กัมพูชาเป็นแผ่นดินแห่งไสยศาสตร์ ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตืดตัวไปด้วยจะอุ่นใจ ระวีเหลือบมองสร้อยพระที่มีพระเครื่องอยู่ในสร้อยเส้นเดียวกัน 5-6 องค์ และแต่ละองค์ล้วนได้รับมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจนัก แต่ระวีก็ไม่เคยห้อยสร้อยพระ เธอไม่ชอบห้อยพระ เธอกราบพระสวดมนต์เป็นประจำ แต่ไม่เคยห้อยพระ เธอไม่ได้หลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด แต่เธอมีความเชื่อว่า ถ้า เธอคิดดี ทำดี สิ่งดีๆที่จะปกปักรักษาตัวเธอเอง
แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา เธอต้องไปดำเนินชีวิต บนแผ่นดินของประเทศกัมพูชา แผ่นดินที่ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินแห่งไสยศาสตร์ที่เลื่องชื่อ การมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองไว้เป็นเรื่องที่ดี ระวีนั่งคิดว่าเธอจะเอาพระองค์ไหนติดตัวไปคุ้มครองดี เพราะแต่ละองค์ล้วนศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจได้โดยไม่ยาก เธิมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลนี่นา “ พี่ทิด” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในตระกูลของเธอบูชาติดตัวไว้ทุกคน
ระวีจำได้ว่า วันที่เธอได้รับ “พี่ทิด” มาติดตัวก็เป็นวันที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
บ่ายวันนั้น พี่สาวลูกของป้าหมอ ได้พาเธอไปพบกับพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่วัดประจำตระกูล เพื่อพาเธอไปกราบและรับรูปหล่อขนาดเท่าองค์พระห้อยคอทั่วๆไปที่พี่สาวบอกว่า “ ไปขอพี่ทิดมาปกป้องคุ้มครอง เป็นนักข่าวเดินทางบ่อยท่านจะได้ช่วยดุแล” เมื่อไปถึงวัด ระวีก็คลานตามพี่สาวไปกราบหลวงตา พี่สาวบอกกับหลวงตาว่า ฉัตวาเป็นน้องสาวเลือดเนื้อเชื้อไขของน้าชายคนเล็ก มามากราบขอรูปหล่อ พี่ทิดประจำตระกูลไว้ปกปักรักษา” หลวงตายิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะพูดว่า
“ดีแล้ว ๆ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้จะให้ได้เฉพาะคนในตระกูลนี้เท่านั้น เอ้ามาสิชื่ออะไรล่ะเรา แบมือยื่นมาข้างหน้าแล้วตั้งจิตอธิษฐานเชิญ “พี่ทิด” มาปกปักรักษาตัวเจ้านะ” ระวีทำตามที่หลวงพ่อบอก เธอแบมือและยื่นออกไปข้างหน้าตั้งจิตอธิษฐาน จ้องมองไปที่มือตัวเองเพื่อจะรอรับรูปหล่อที่หลวงตาจะยื่นให้ แต่สิ่งที่อัศจรรย์ใจเกิดขึ้นต่อเธอต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ รูปหล่อขนาดพระห้อยคอทั่วๆไปองค์สีดำ ผุดขึ้นมากลางมือของเธอโดยที่หลวงตาไม่ได้ยืนให้ แล้วรูปหล่อมาจากไหนกัน ระวีครุ่นคิดอย่างอัศจรรย์ใจจนหลวงตาสังเกตเห็น ท่านจึงพูดว่า
“บางสิ่งบางอย่างบนโลกใบนี้ บางทีเราก็ไม่ต้องการรู้คำตอบหรอกนะเจ้า ไปๆเถอะ เอารูปหล่อนี้ไปใส่กรอบหน้าวัด แล้วห้อยคอติดตัวไว้นะเจ้า” ว่าแล้วหลวงตาก็ลุกขึ้นเดินกลับไปในห้อง ระวี พี่สาวและแม่จึงกราบพระประธานและขับรถกลับบ้าน นั่นคือที่มาที่น่าอัศจรรย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ระวีจะอัญเชิญท่านติดตัวไปปกปักรักษาในช่วงที่ไปทำงานบนแผ่นดินแห่งไสยศาสตร์ตลอด 2 สัปดาห์เต็มๆ ข้างหน้านี้ ฉัตวาตื่นแต่ตี 4 เพราะต้องไปเช็ดอินตั๋วก่อนเวลาหนึ่งชม. แท็กซี่มารับตามเวลานัดหมาย ระวีลากกระเป๋าลงจากห้องพัก ขึ้นแท็กซี่และมุ่งหน้าไปสนามบิน
“เดี้ยวๆก่อนค่ะ ขอโทษค่ะ คุณค่ะ “ รถวิ่งออกมาได้ไม่ถึง 10 นาที ฉัตวาก็ร้องเรียกคนขับแท๊กซี่เสียงหลง
“พอดีลืมของสำคัญมากๆค่ะ ช่วยวกรถกลับไปที่เดิมก่อนได้ไหมคะ ขอขึ้นไปเอาของก่อนค่ะ” เธอ…ลืม พี่ทิด ระวีคิดได้และรู้สึกใจหาย เธอรู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างมาเตือนให้เธอจำได้และบอกว่าต้องกลับไปเอาเดี้ยวนี้
แท็กซี่พาเธอวกรถกลับไปยังที่พักโดยทันที ดีทีตอนนี้เป็นช่วงเช้ามืดรถจึงยังไม่ติด ระวีวิ่งขึ้นไปบนห้องพัก ไขกุญแจและวิ่งไปหยิบรูปเหมือนพี่ทิดที่หุ้มกรอบพระในพวงออกมาเพียงองค์เดียวโดยไม่ลืมจะหยิบเข็มกลัดที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมาจากห้องด้วย
เมื่อขึ้นนั่งบนแท็กซี่ ระวีรีบเอารูปหล่อ “พี่ทิด” คล้องเข้ากับเข็มกลัด แล้วนำไปติดกับสายคล้องเสื้อชั้นในอย่างรวดเร็ว ถึงสนามบินทันเวลาเซ็ดอินพอดิบพอดี ทีมงานทั้ง 3 คน เตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ บรรณาธิการและช่างภาพพูดคุยกันถึงภารกิจที่จะทำด้วยสีหน้าท่าทางที่สดใสที่จะได้เดินทางไปยังประเทศที่มีเรื่องราวต่างๆให้ค้นหามากมาย
เมื่อเครื่องบิน แล่นลงบนสนามบินของเมือง พนมเปญของประทศกัมพูชา เราทั้งสามมองสภาพแวดล้อมของสนามบินแล้วคิดตรงกับว่า บรรยากาศไม่ต่างอะไรกับสถานีรถไฟเมืองไทย เราเดินลงจากเครื่องไปยังอาคารของสนามบินอย่างรวดเร็วสิ่งที่พบคือ เด็กน้อยยากจนหน้าตามอมแมจำนวนมาก กรูเข้ามาหาเราทั้งสามคน เพื่อขอเงิน ระวีจำเป็นต้องทำใจแข็ง
เพราะหากให้คนหนึ่งคงไม่สามารถจะให้ครบได้ทุกคน เราผ่านด่านนั้นมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจที่ไม่สามารถแบ่งปันเด็กน้อยเหล่านั้นได้ ออกมายินสูดอากาศโล่งๆในอาคารผู้โดยสานได้สักพักก็เหลือบมองไปเห็นป้ายต้อนรับทีมงานของเราชูอยู่บนปากทางออกอากาศผู้โดยสาร ทักทายให้แน่ใจสักครู่ ระวีและทีมงานก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถยนต์ที่ทางโรงแรมที่พักส่งมารับ และมุ่งหน้าสู่ Royal Phnom Penh hotel โดยที่ระวีไม่รู้เลยว่าการเดินทางมาพนมเปญในครั้งนี้ เธอจะได้รับประสบการณ์ด้านความลึกลับทางไสยศาสตร์ที่ตื่นเต้นอย่างไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต